อ้างอิงจาก http://th-bigbike.com/category/car-reviews/
เรื่องอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ใช้รถยนต์ใช้ถนนก็น่าต้องเจออุบัติเหตุบนท้องถนนอยู่กันเป็นประจำโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มักจะเป็นสาเหตุหลักของอาการรถติดไม่ซ้ำแต่ละวัน วันนี้ก็จะนำเพื่อนๆ มารู้จักกับการเคลมประกันรถยนต์ที่ควรจะเป็นบุคคลอันดับต้นๆ ที่เราควรจะโทรหาเพื่อเคลียร์ปัญหาอุบัติเหตุที่อยู่ตรงหน้า
โดยปกติแล้วบริษัทประกันรถยนต์จะมีพนักงานที่คอยขี่มอเตอร์ไซต์วิ่งตามท้องถนนเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งเราก็มักจะเรียกพนักงานเหล่านี้ว่าพนักงานเคลมนั่นเอง พนักงานเคลมจะเป็นผู้ที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวลูกค้า, คู่กรณี, ข้อมูลรถ, ข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ, พร้อมทั้งถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุและตัวรถยนต์เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประสานงานกับบริษัทประกันภัยในภายหลัง
โดยปกติแล้วการเคลมประกันภัยรถยนต์จะแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน คือ
1. เคลมแห้ง คือ การเคลมที่รถเกิดเหตุมานานแล้ว แต่ลูกค้าเพิ่งมาแจ้งเหตุในภายหลัง เช่น แผลขูดขีดตามตัวถังรถยนต์ เป็นต้น
2. เคลมสด คือ การเคลมเมื่อเกิดเหตุรถชนกันสดๆ และยังมีคู่กรณีรอยู่ในเหตุการณ์
3. เคลมเสียหายมาก คือ การเคลมที่จะเกิดขึ้นสดๆ หรือเกิดขึ้นนานแล้ว แต่มีความเสียหายมากจนรถเสียหายขับเคลื่อนไม่ได้
โดยปกติแล้วการเคลมแห้งมักจะเป็นการเคลมโดยไม่มีคู่กรณี ซึ่งจะทำให้ผู้เคลมประกันเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่ไม่ทราบคู่กรณ๊ (มีระบุไว้ในสัญญาการประกันภัย) หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่าค่าแอคเซฟนั่นเอง ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุและมีคู่กรณีก็ควรรีบโทรแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยในทันที พร้อมทั้งขอข้อมูลของผู้ที่ติดต่อด้วย เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์ติดต่อกลับ เพื่อที่เราจะได้ติดต่อประสานงานในภายหลังได้สะดวก
เมื่อเกิดเหตุและเราเป็นฝ่ายถูกแต่รถคู่กรณีไม่มีประกันภัย หลังจากที่เราเคลมประกันแล้ว เราควรจะกลับไปตรวจสอบข้อมูลกับบริษัทประกันภัยด้วยว่าได้บันทึกข้อมูลอุบัติเหตุไว้อย่างไร เราเป็นฝ่ายถูกหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีการระบุไว้ ก็จะทำให้เราต้องเสียค่าประกันเพิ่มขึ้นในปีถัดไปได้
ในระหว่างการเคลมความเสียหาย พนักงานเคลมก็จะสอบถามข้อมูลต่างๆ ของผู้ขับขี่และคู่กรณี พร้อมทั้งให้เราสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครถูก ใครผิด และถ่ายรูปตัวรถ สถานที่เกิดเหตุ เป็นต้น เมื่อเคลมเสร็จพนักงานเคลมก็จะสรุปผลทั้งหมดและให้ข้อมูลว่าเราจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไร นำรถไปซ่อมได้ที่ไหน พร้อมทั้งสรุปค่าใช้จ่ายที่อาจจะมีเพิ่มเติม สิ่งที่สำคัญก็คือพนักงานเคลมจะให้ใบเคลมกับเราเพื่อใช้ในการยื่นกับทางอู่หรือศูนย์ที่รับซ่อมรถยนต์
จากนั้นเราก็หาเวลาว่างเพื่อใช้ในการซ่อมรถยนต์ซึ่งก็จะใช้เวลาแตกต่างกันไปในแต่ละกรณีไป โดยเราสามารถโทรไปสอบถามที่อู่หรือศูนย์ที่รับซ่อมว่าสามารถนำรถเข้าไปซ่อมในวันใด ใช้เวลาซ่อมเท่าไหร่ เพื่อเราจะได้แพลนการใช้รถของเราต่อได้ หากการซ่อมจำเป็นต้องมีการสั่งอะไหล่ เราอาจจะต้องนำรถยนต์เข้าไปเคลมเพื่อใช้ในการเบิกอะไหล่ หากรถยังสามารถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย เราอาจจะขอรถมาใช้ก่อน พออะไหล่พร้อมค่อยเอารถเข้าซ่อมอีกครั้งก็ได้
การเคลมประกันรถยนต์อาจจะดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ถ้าหากเราได้ทำความเข้าใจ รู้จักสังเกต มีความรอบคอบ รู้จักซักถามเรื่องที่สงสัยกับพนักงาน ก็จะทำให้การเคลมเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าหากโชคร้ายเจอการโกงประกันภัย เราก็สามารถติดต่อเข้าไปยังสายด่วนของกรมการประกันภัย 1186 ที่เปิดช่องทางให้เราสามารถร้องเรียนเกี่ยวการดำเนินที่ไม่เป็นธรรมได้ สุดท้ายก็ขออวยพรเพื่อนๆ ทุกคนให้ได้ใช้รถยนต์ใช้ถนนกันอย่างปลอดภัย ไม่เจออุบัติเหตุกันทุกคนครับ