การวิจัยระดับโลกครั้งใหม่ได้ทำการสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมด้านความยั่งยืนของผู้บริโภคทั่วโลก และอิทธิพลที่มีต่อการกำหนดกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศและการเติบโตของภาคธุรกิจ ภายในหนึ่งปี ผู้บริโภค 3 ใน 5 จะเริ่มคว่ำบาตรแบรนด์ที่ไม่ลงมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้บริโภคเกือบครึ่งเตรียมเปลี่ยนแบรนด์สินค้าและบริการไปใช้แบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ผู้บริโภค 3 ใน 10 ยินดีจ่ายแพงกว่าเพื่อใช้แบรนด์สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
เดนท์สุ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ไมโครซอฟท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง เผยแพร่รายงานการวิจัย The Rise of Sustainable Media เพื่อเรียกร้องให้มีการยกระดับความโปร่งใสและความร่วมมือในทุกอุตสาหกรรม
ผลการวิจัยระดับโลกครั้งใหม่* ที่เผยแพร่ในวันนี้ (7 ธ.ค.) ระบุว่า ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ผู้บริโภค 59% ทั่วโลกจะเริ่มคว่ำบาตรแบรนด์ที่ไม่ลงมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังสนับสนุนให้แบรนด์ต่างๆ ทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับโลกและปฏิบัติตนเป็น "ตัวอย่างที่ดี" นอกจากนี้ ผู้บริโภค 91% ต้องการให้แบรนด์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเลือกสิ่งที่ถูกต้องสำหรับโลกและสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนในทุกสิ่งที่ทำ
ผลการค้นพบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาระดับโลกครั้งใหม่โดยเดนท์สุ อินเตอร์เนชั่นแนล (dentsu international) และ ไมโครซอฟท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง (Microsoft Advertising) เพื่อสำรวจความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการใช้สื่ออย่างยั่งยืน โดยมีผู้บริโภคกว่า 24,000 คน จาก 19 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมการวิจัย และผลการค้นพบสำคัญ ๆ ได้รับการนำเสนอในรายงานสรุปฉบับใหม่ชื่อ "The Rise of Sustainable Media"
ความปรารถนาและความเต็มใจที่จะน้อมรับวิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้นได้กลายเป็นกระแสหลัก โดย 87% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าต้องการลงมือทำอะไรมากกว่านี้เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่ผู้บริโภครู้สึกกังวลมากที่สุด มากยิ่งกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (85%) สุขภาพของคนในครอบครัวและเพื่อน (79%) หรือค่าครองชีพ (76%)เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่ผู้บริโภครู้สึกกังวลมากที่สุด ผู้บริโภคเกือบครึ่งหนึ่ง (45%) จึงพร้อมพิจารณาแบรนด์ บริษัท หรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่ใช้อยู่ในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ตอบแบบสำรวจ 30% ยังยินดีจ่ายแพงกว่าเพื่อแบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจำนวนมากไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน และรู้สึกถูกถาโถมด้วยตัวเลือกและข้อมูลที่ย้อนแย้งกัน โดยผู้บริโภค 84% รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าแบรนด์และบริษัทต่าง ๆ ใส่ใจสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่ ดังนั้น เพื่อรับมือกับปัญหาการบิดเบือนข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น ผู้บริโภค 42% คิดว่าบริษัทต่าง ๆ ควรให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเปรียบเทียบได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และโฆษณาของตน เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Peter Huijboom ซีอีโอสากลฝ่ายสื่อและลูกค้าทั่วโลก บริษัท เดนท์สุ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "การกระทำของลูกค้าและการคว่ำบาตรที่อาจเกิดขึ้นซึ่งเราค้นพบในการวิจัยครั้งนี้ เป็นผลมาจากสิ่งที่ผู้บริโภครับรู้เกี่ยวกับบริษัทและพฤติกรรมของบริษัท ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความจริง เราทราบดีว่าหลายองค์กรได้ลงมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว และในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด เรามีหน้าที่แนะแนวทางให้แก่ภาคธุรกิจ รวมถึงช่วยให้ความรู้และข้อมูลแก่ผู้บริโภค เพื่อผลักดันให้พวกเขาคิด รู้สึก และทำในสิ่งที่แตกต่าง"
"ด้วยเหตุนี้ อุตสาหกรรมการตลาดและโฆษณาจึงมีบทบาทสำคัญ และเราต้องทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการด้วยความซื่อตรง ด้วยการส่งสารเหล่านี้ผ่านสื่อที่ยั่งยืน"
จนถึงทุกวันนี้ การนำเสนอสื่อและการบริโภคโฆษณายังไม่สามารถสร้างความตระหนักรู้เรื่องการปล่อยคาร์บอนได้อย่างเต็มที่ในสายตาของสาธาณชน
มีผู้บริโภคเพียง 1 ใน 7 (15%) ที่ตระหนักว่าการท่องเว็บส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีผู้บริโภคเพียง 17% ที่ตระหนักว่าการดูทีวีก็ปล่อยคาร์บอน, 14% ตระหนักว่าการเล่นเกมก็ปล่อยคาร์บอน และ 11% ตระหนักว่าการสตรีมเพลงก็ปล่อยคาร์บอน
ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า 1 ใน 7 (14%) ของผู้บริโภคที่มองว่าการนำเสนอและบริโภคโฆษณาส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะมีส่วนร่วมกับแบรนด์ต่างๆ อย่างไร และผู้บริโภคกว่า 3 ใน 4 (77%) ของทั่วโลกระบุว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า พวกเขาต้องการจ่ายเงินให้กับแบรนด์ที่โฆษณาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
ความจริงแล้ว ผู้บริโภคคิดว่ารัฐบาล (51%) ภาคธุรกิจ/แบรนด์ (43%) และอุตสาหกรรมโฆษณา (41%) ควรแบกรับความรับผิดชอบมากกว่าผู้บริโภค (36%) ในการลดคาร์บอนจากการโฆษณา อย่างไรก็ดี การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไม่สามารถทำได้โดยลำพัง และทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน
ผลการศึกษาบ่งชี้ว่ารัฐบาล ภาคธุรกิจ และนักการตลาด กำลังจะหมดเวลาในการหารือประเด็นนี้ เนื่องจากผู้บริโภครุ่นใหม่และช่องว่างระหว่างวัยได้ทำให้การรับรู้เปลี่ยนแปลงไป โดยคนกลุ่ม Baby Boomer มีเพียง 45% ที่เชื่อว่าการบริโภคโฆษณาส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ความเชื่อดังกล่าวมีสัดส่วนสูงถึง 71% ในกลุ่ม Gen Z และ 73% ในกลุ่ม Millennial ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่ใส่ใจและกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ประกอบกับการที่สาธารณชนสนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น และเข้าร่วมกิจกรรมระดับโลกอย่างเช่นการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP26) แสดงให้เห็นว่าการตระหนักรู้เรื่องนี้จะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว