หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: เศรษฐกิจในสุพรรณบุรีต้องดีกว่าเดิม กับการสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่ยั่งยืน  (อ่าน 4 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 25 ธ.ค. 22, 11:23 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

“ตัวฉันเกิดมาเป็นหนุ่มสุพรรณ ทํานาตากแดดทั้งวัน จนตัวฉันนั้นมันดําปิ๊ดปี๋…” นี่คือคำร้องท่อนหนึ่งของเพลงหนุ่มสุพรรณ ประโยคเดียวที่สามารถสื่อถึงจังหวัดสุพรรณบุรีได้ดี เป็นจังหวัดที่ขึ้นเชื่อเรื่องการทำเกษตรกรรมมากที่สุดในแถบภาคกลาง และประชากรที่นี่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งทำนา ทำไร่ ทำสวน การปศุสัตว์ การประมง ฯลฯ โดยเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดมากที่สุด


จังหวัดสุพรรณบุรีแบ่งเขตการปกครองเป็น 10 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี, เดิมบางนางบวช, ด่านช้าง, บางปลาม้า, ศรีประจันต์, ดอนเจดีย์, สองพี่น้อง, สามชุก, อู่ทอง และหนองหญ้าไซ ซึ่งแต่ละอำเภอมีจุดเด่นในด้านเกษตรกรรมที่แตกต่างกันออกไป แต่วันนี้เราจะขอเจาะลึกของอำเภออู่ทอง ที่มีพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจและสำคัญคือ “อ้อย”

จากการสำรวจในอำเภออู่ทอง พบว่า ประชากรที่ปลูกอ้อย ส่วนใหญ่มักเป็นเพศชาย ที่มีอายุเฉลี่ย 51 ปี จบการศึกษา ม.3 หรือ ป.6 และมีประสบการณ์การปลูกอ้อยไม่น้อยกว่า 22 ปี โดยยึดถือการทำไร่อ้อยเป็นอาชีพหลัก รองลงมาคือการทำนา แสดงให้เห็นว่า อาชีพปลูกอ้อยเป็นอาชีพของวัยกลางคนขึ้นไป ในรุ่นลูกรุ่นหลานยังไม่มีการสานต่ออาชีพนี้ เพราะภาพภายนอกอาจจะมองว่าอาชีพเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวยหรือมีเงินมากกว่าการทำงานในเมืองหลวง แต่หารู้ไม่ว่า “อ้อย” เป็นพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจของสุพรรณบุรีโดยแท้ ไม่แพ้การทำนาปลูกข้าวสักนิด และตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลาดมีความต้องการอ้อยและน้ำตาลอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมนี้มีแต่เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตน้ำตาลจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศ เป็นอันดับที่ 2 ของโลก ในแต่ละปีมีปริมาณการส่งออกถึง 5.004 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า
70,000 ล้านบาทต่อปี เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องเร่งผลิตอ้อยส่งโรงงานผลิตน้ำตาลไม่ต่ำกว่าปีละ 60 ล้านตัน ซึ่งจังหวัดสุพรรณบุรีได้เปรียบกว่าจังหวัดอื่นอย่างมาก ตรงที่มีโรงงานผลิตน้ำตาลของมิตรผลอยู่ในพื้นที่อำเภอด่านช้าง จึงสะดวกและง่ายต่อการขนส่ง แต่ปัจจุบันเรากลับมีพื้นที่ปลูกอ้อยเพียง 76,644 ไร่ ผลผลิตอ้อยเฉลี่ย 10.35 ตันต่อไร่ ซึ่งยังถือว่าน้อยและไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดด้วยซ้ำ

cr: FB นพดล มาตรศรี
ด้านนายนพดล มาตรศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคชาติไทยพัฒนา จ.สุพรรณบุรี ได้ให้ความเห็นในเรื่องไว้ว่า “หากรัฐสามารถจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกอ้อย ให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดได้จะเป็นการช่วยเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากฐาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดโครงการโซนนิ่งพื้นที่เกษตร โดยให้การสนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยีแก่เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย” ซึ่งในปัจจุบันในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล มีกฎหมายกำหนดระบบแบ่งผลประโยชน์ที่ทุกฝ่ายยอมรับ โดยที่รัฐยังให้การสนับสนุนด้านการกำหนดราคา และเงินอุดหนุนเกษตรกร ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยในปัจจุบันได้รับราคาอ้อย ขั้นสุดท้ายรวมกับเงินช่วยเหลือแล้ว เฉลี่ย 1,100 บาทต่อตัน แต่หากรัฐเพิ่มการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ที่จะทำให้ช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูกต่อไร่ ก็จะทำให้ประหยัดลงได้กว่าเดิม เงินของเกษตรกรก็มากขึ้น รายได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น และพลอยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเช่นกัน


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

Tags:  สุพรรณ ไร่อ้อย เศรษฐกิจ 

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม