|
เชื่อต่อคุณเข้ากับสังคมของชาวบ้านส้องได้แล้วที่ "Facebook" ... เซิร์ท
"บ้านส้อง บ้านฉัน" หรือ "bansong_town@hot ที่ Facebook พร้อม Add ได้เลยครับ ...
"อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน และไม่พลาดทุกข่าวคราวความเคลื่อนไหวของชาวบ้านส้องครับ"
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
.............“บ้านส้อง” คือ “ตำบลเก่าแก่” ตำบลหนึ่งของอำเภอ “เวียงสระ” ในเขตการปกครองจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันได้ว่า เมืองนี้แต่เดิม เคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน สืบทอดถึงอาณาจักร “ศรีวิชัย” เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมเวลานับได้พันกว่าปี .............โดยมีหลักฐานที่สำคัญคือ โบราณสถาน “วัดเวียงสระ” อันเป็นที่ตั้งของ “เมืองโบราณเวียงสระ” อันมีลักษณะสำคัญคือ เป็นเมืองที่มีคูน้ำล้อมรอบ พร้อมกับซากเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ในป่าโบราณอันรกชัฏ ซึ่งปรากฏเหลืออยู่เพียงซากเจดีย์โบราณ ที่มองเห็นเพียงแค่ซาก “กองอิฐ” ที่เก่าแก่จนไม่อาจสันนิฐานรูปร่างดั้งเดิมได้ ทั้งยังมีร่องรอยของ “สระน้ำโบราณ” อันเป็นที่มาของชื่ออำเภอ “เวียงสระ” กับซากพระพุทธรูปหินทรายแดงที่ปรักหักพังอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่เป็นหลักฐานอันหลงเหลืออยู่ใน “เมืองโบราณเวียงสระ” จนมาถึงทุกวันนี้ ...............“เมืองโบราณวัดเวียงสระ” หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันสั้น ๆ ว่า “วัดเวียง” จึงเป็นสถานที่สำคัญแห่งแรก ที่ผมอยากจะแนะนำทุกท่านให้ไปเยี่ยมเยือนกันก่อนครับ ....
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...........จากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี โดยทาง "รถยนต์" ระยะทางประมาณ ๖๙ กิโลเมตร ถึงอำเภอเวียงสระ หรือจะเดินทางมาโดยทาง "รถไฟ" ไปลงที่สถานีรถไฟ “บ้านส้อง” แล้วต่อด้วยรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ไปยังหมู่ที่ ๗ ให้เลี้ยวเข้าไปยังถนนเส้นที่ติดป้ายบอกทางไปยัง “วัดเวียงสระ” จนสุดทาง ก็จะพบกับวัดเวียงสระ ตั้งอยู่สุดถนนเส้นที่ว่านั่นเอง..... .............ปัจจุบัน “วัดเวียงสระ” มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปไม่มากนัก ด้วยความเจริญเติบโตทางเศรษกิจของเมืองที่เปลี่ยนทำเลไป ทำให้ปัจจุบัน วัดเวียงสระ ตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆ ค่อนข้างจะโดดเดี่ยว ห่างไกลออกมาจากความวุ่นวายของตัวเมืองอยู่พอสมควรทีเดียว จึงทำให้โบสถ์เก่า กุฎิ ศาลาต่าง ๆ ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ๆ เหมือนสมัยเมื่อเกือบร้อยปีก่อน พร้อม ๆ กับซากเมืองโบราณอายุกว่าพันปี ก็ได้ซุกซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ ด้านหลังของ “วัดเวียงสระ"
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
......เชื่อกันว่าเมืองเวียงสระ มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ โดยมีหลักฐานยืนยันจากจดหมายเหตุจากเมืองจีน ที่กล่าวถึงการติดต่อกันทางราชทูตราวช่วง พ.ศ. ๙๖๗ คาดกันว่า เมืองเวียงสระ น่าจะตั้งขึ้นก่อนสมัยอาณาจักร "ศรีวิชัย" อันเป็นอาณาจักรโบราณที่สำคัญในแถบภาคใต้นี้ด้วยซ้ำ .....นั่นก็เพราะว่าบริเวณนี้ ได้มีการค้นพบหลักฐานสำคัญทางด้านโบราณคดีมากมาย ซึ่งมีตั้งแต่เครื่องมือศิลาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เทวรูปและพระพุทธรูปเก่าแก่ หลายยุคสมัยต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อันนี้เองทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ชุมชนโบราณเมืองเวียงสระนั้น ได้มีการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง มีสภาพเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง ดังจะเห็นจากการรู้จักสร้างกำแพงและคูเมือง โดยอาศัยลำน้ำธรรมชาติและขุดคลองเชื่อมต่อกัน นั่นทำให้แหล่งเมืองโบราณเวียงสระนี้ จึงมีความสำคัญทางด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ ของแหล่งอารยะธรรมโบราณ ในดินแดนแถบภาคใต้อีกด้วย...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
.........ปัจจุบัน ด้วยปัจจัยทางด้านการประชาสัมพันธ์ที่มีไม่มากนัก ประกอบกับสภาพของตัวเมืองโบราณเวียงสระเอง ที่คงสภาพเดิม ๆ เหมือนซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ อันเกี่ยวเนื่องมาจากความเชื่อของชาวบ้านในละแวกนั้น ที่จะไม่เข้าไปยุ่งย่ามภายในเขตเมืองโบราณโดยไม่จำเป็น จึงทำให้ตัวเมืองโบราณเวียงสระ ยังคงได้รับการอนุรักษ์ในสภาพเดิม ๆ เหมือนอย่างเช่นที่นักสำรวจเมืองโบราณรุ่นแรก ๆ ได้ผ่านมาพบเจอ ..........ถึงแม้ว่าตัวเมืองโบราณเวียงสระในปัจจุบัน อาจจะไม่ใหญ่โต สมบูรณ์ กว้างขวาง หรือมีวัตถุโบราณอันสวยงามอย่างที่ใคร ๆ คาดหวัง แต่จุดเด่นของที่นี่ ก็คงอยู่ที่ตัวเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในป่าทึบ คงสภาพแบบดิบ ๆ เดิม ๆ เหมือนไม่เคยผ่านการบูรณะมาก่อน นี่จึงเป็นสาเหตุให้ก้าวแรก ของผู้ที่มีโอกาสเหยียบย่างลงบนผืนแผ่นดินโบราณแห่งนี้ จะได้สัมผัสกับบรรยากาศแห่งความเก่าแก่ ขรึมขลัง จนรู้สึกได้ อย่างที่ผมเคยรู้สึกในก้าวแรก ในการเดินทางมาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งบรรพบุรุษแห่งนี้ พร้อม ๆ กับความรู้สึกทึ่ง ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของผืนแผ่นดินแห่งนี้นั่นเอง…
*** อ้างอิงจาก ***
http://www.wiangsra.go.th/?tpid=0019
http://www.suratculture.com/data/boransathan/buranvangsa.html
http://board.palungjit.com/showpost.php?p=584527&postcount=3
http://www.hs8jsk.th.gs/web-h/s8jsk/index4.htm
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
.........การเดินทางเข้าสู่ตำบล “บ้านส้อง” นั้นทำได้ไม่ยากเลย จากเส้นทางหลักด้วยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 ในเส้นทางช่วงระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี – นครศรีธรรมราช ก็จะเจอกับแยกที่มีป้ายชี้ทางให้ท่านเดินทางมาสู่ “บ้านส้อง” ได้อย่างชัดเจน (เส้นทางย่อยที่ 4009) หรือหากว่าท่านชอบที่จะเดินทางมาด้วยรถไฟ “สถานีรถไฟบ้านส้อง” ก็เปิดบริการรับใช้ประชาชนที่นี่มานานหลายปี... ..........อันนามว่า “บ้านส้อง” นั้นมีความเป็นมาอย่างไร หลายคนที่ได้ยินชื่อนี้คงต้องอดสงสัย ถึงที่มาที่ไปของเมือง ๆ นี้ไม่ได้แน่ ๆ (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย) จากการพยายามค้นคว้า จึงได้คำตอบจากเรื่องเล่ามาว่า เมื่อนานมาแล้ว พื้นที่แถบนี้นั้น แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ ๆ มีขุมกำลังโจรปล้นสะดมอยู่เป็นจำนวนมาก ซ่องโจรที่ว่านั้น ตั้งอยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟ จนถึงเขตเทือกเขาบรรทัดคุ้มปลายแพง ที่มองเห็นได้จากบริเวณหน้าสถานีรถไฟ จึงเรียกพื้นที่แถบนี้ติดปากกันมาว่า “บ้านส้อง” จนมาถึงทุกวันนี้
* อ้างอิงจาก http://cddweb.cdd.go.th/wiangsra/information15/bansog/bansonghnear.htm
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
.............ตัวผู้เขียนเอง ในฐานะที่เป็นพลเมืองผู้หนึ่ง ที่เติบโตมาอย่างสงบสุขในเมือง ๆ นี้ ก็กล้ายืนยัน และนอนยันเลยว่า เรื่องตำนานอันน่ากลัวของโจรป่าในอดีตได้ผ่านพ้นไปนานมากแล้ว ทุกวันนี้ “บ้านส้อง” คือเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง ที่เจริญเติบโตอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ด้วยปัจจัยเศรษฐกิจทางด้าน “การเกษตร” “ การค้า”และ “เหมืองแร่” คือลมหายใจหลักที่หล่อเลี้ยงเมือง ๆ นี้ไว้ ให้ดำรงอยู่ได้ในทุกวันนี้ .............และเนื่องมาจากตำบล “บ้านส้อง” ได้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางการคมนาคมทางรถยนต์ ที่ตัดผ่านไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ตอนล่าง รวมถึงเส้น “ทางรถไฟ” สายใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปต้องแล่นผ่าน “สถานีรถไฟบ้านส้อง” จึงทำให้เมืองบ้านส้อง ได้กลายเป็น “เมืองผ่าน” ที่สำคัญเมืองหนึ่งในเขตภาคใต้ตอนบนไปโดยปริยาย...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
.............เมื่อผมตั้งใจพิจารณาเมือง “บ้านส้อง” ในมุมมองแบบนักท่องเที่ยว เพื่อตั้งใจค้นหา “เอกลักษณ์” ของเมือง ๆ ใดก็ตาม ที่ตนเองมีโอกาสได้ไปเยือน ก็ทำให้ผมได้มองเห็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองบ้านส้อง นั่นก็คือ “ความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย” ที่ดำรงอยู่ร่วมกับ “สังคมกสิกรรมแบบชาวสวน” ที่ต่างพึ่งพาอาศัยกัน อย่างผสมกลมกลืน และน่าสนใจ .............และก็เนื่องจาก “บ้านส้อง” มีลักษณะเป็น “เมืองผ่าน” เรื่องราวและความเจริญต่าง ๆ จึงอาจจะผ่านเข้ามา และพร้อมที่จะจากไป โดยที่ใครบางคนอาจไม่ทันรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ก็ทิ้งร่องรอยแห่งความทรงจำบางอย่างไว้ให้กับวิถีชีวิตแห่งชาวบ้านส้อง อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ พร้อม ๆ กับสังคมกสิกรรมแบบดั้งเดิมที่ยังคงดำรงอยู่ อย่างเป็นกระดูกสันหลังให้กับเมืองบ้านส้องแห่งนี้มาโดยตลอดอีกด้วย ..............ผมจึงอยากจะนำพาทุกท่านไปสัมผัส ถึงตัวตนแห่งเมือง “บ้านส้อง” ที่แท้จริง ผ่าน “ภาพ” และ “เรื่องราว” ในมุมมองของผม กันนับจากนี้ครับ...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...........หากจะกล่าวถึงวิถีชีวิตแบบ “กสิกรรม” ที่ “ใครสักคน” สามารถดำรงชีวิตตนเอง และครอบครัวให้อยู่ได้อย่างสงบสุข ด้วยการทำการเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว นั่นอาจเป็นวิถีชีวิตในแบบที่ “คนเมือง” หลายคนถวิลหา แม้กระทั่งตัวของผมเองก็ตาม ที่แอบอิจฉาอยู่ลึก ๆ ในยามที่มีโอกาสได้ขี่มอเตอร์ไซด์ไปเยี่ยมเยือนเขต “บ้านสวน” ที่อยู่ห่างจากตัวตลาดบ้านส้อง ออกไปแค่เพียงนิดเดียว ...........เพราะถึงแม้ตัวผมเองจะเป็นคนบ้านส้องโดยกำเนิด แต่เนื่องจากว่าครอบครัวตั้งรกราก และทำมาหากินอยู่ในตลาด จึงยอมรับโดยตรงเลยว่า ตนเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้ออกมาเที่ยวเล่นในเขต “บ้านสวน” บ่อยนัก ในคราวนี้ เมื่อได้ตั้งใจขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาสัมผัสกับชีวิตชาวสวนอย่างจริง ๆ จัง ๆ จึงได้เกิดความรู้สึกอิจฉาในวิถีชีวิตแบบนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเป็นความจริงที่ว่า เกษตรกรที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นชาวสวน “ยางพารา” หรือสวน “ผลไม้” ต่างก็ดำรงชีวิตตนเองและเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้ ท่ามกลางเรือกสวนอันร่มรื่นเหล่านี้ มานานแสนนานเต็มทีแล้ว
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
……...ใครบางคนอาจจะเคยเปรียบ “ทุเรียน” ไว้ว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” แต่สำหรับที่ตำบล “บ้านส้อง” แห่งนี้แล้วละก็ หลายคนคงอยากจะยกให้ “เงาะโรงเรียน” เป็นราชาแห่งผลไม้ของที่นี่มากกว่า นั่นก็เพราะว่าตำบล “บ้านส้อง” ถือได้ว่าเป็นที่พักพิงชั้นดีของเหล่าบรรดา “เงาะโรงเรียน” เนื่องจากว่าที่นี่ มีการเพาะปลูกเงาะโรงเรียนกันอย่างแพร่หลาย จะเป็นรองก็คงแค่เพียงอำเภอ “บ้านนาสาร” อำเภออันเป็นแหล่งต้นกำเนิดของ “เงาะโรงเรียน” อันโด่งดังของจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” นั่นเอง ............ก็เพราะเนื่องจากว่า โดยสภาพทางภูมิศาสตร์แล้วอำเภอ “บ้านนาสาร” และอำเภอ “เวียงสระ” นั้น เป็นอำเภอที่มีพื้นที่ติดกัน (จริง ๆ แล้วตำบล “บ้านส้อง” นั้น ได้เคยอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอ “บ้านนาสาร” มาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำไป) จึงการันตีได้เลยว่า เงาะโรงเรียนที่มีปลูกกันอยู่อย่างแพร่หลายที่ตำบล “บ้านส้อง” นั้น เป็นเงาะโรงเรียน “พันธุ์แท้” ที่มีรสชาติหวาน กรอบ อร่อยเช่นเดียวกับเงาะโรงเรียน “บ้านนาสาร” ที่โด่งดังขจรขจายไปไกล รับประกันได้เลย...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...........เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจแทนผลไม้อื่น ๆ ที่ปลูกในบ้านส้อง ที่อาจจะถูกความโด่งดังของ “เงาะโรงเรียน” บดบังรัศมีไปบ้าง แต่ทว่าความเป็นจริงแล้ว ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้นั้น เป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปลูกผลไม้มาช้านานแล้ว โดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อนอื่น ๆ ทุกชนิดเช่น มะม่วง มังคุด ลองกอง ลางสาด ทุเรียน ฯลฯ ล้วนมีปลูกอยู่อย่างมากมายที่นี่ ส่วนเรื่องรสชาติก็คงต้องขอรับประกันเลยว่า ผลไม้หลาย ๆ ชนิดที่เจริญงอกงามอยู่ทางภาคใต้นั้น ล้วนขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความอร่อยมานานแล้ว.... ...........ก็อยากจะขอเชิญชวนผู้ที่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างเดือน “กรกฎาคม – ตุลาคม” อันเป็นฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว “ผลไม้” ที่กำลังผลิดอกออกผล โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่นิยมในรสชาติของผลไม้เหล่านี้ ที่นี่ก็คงไม่ผิดไปจากแดนสวรรค์ของท่าน กับโอกาสที่จะได้เยี่ยมชมสวนผลไม้ที่กำลัง “ลูกดก” มากมายอยู่เต็มต้น รอให้ท่านได้ลองลิ้มชิมรส และซื้อหากันในราคาพิเศษ หรือหากว่าท่านโชคดี ก็อาจมีโอกาสได้ลิ้มลองในเเบบที่เรียกว่า “เด็ด” ทานกันสด ๆ จากต้นได้เลยทีเดียว...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
..............ถึงแม้ว่าการปลูกผลไม้นั้นอาจเป็นสิ่งที่สร้างชีวิตชีวา และสร้างสีสันบางอย่างให้กับตำบลบ้านส้องแห่งนี้ แต่ว่าพืชเศรษฐกิจที่แท้จริงสำหรับที่นี่นั้น หาใช่เงาะ ทุเรียน หรือผลไม้ใด ๆ ไม่ หากแต่เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ที่เปลือกและลำต้น สามารถหลั่งน้ำยางสีขาวออกมาแล้วให้เกษตรกรนำไปขายได้ นั่นก็คือพืชเศรษฐกิจที่ชื่อว่า “ยางพารา” ซึ่งเป็นพีชสวนที่มีการปลูกกันมากที่สุดในเขตภาคใต้ ..............ก็เพราะโดยธรรมชาติของต้นยางพารา ที่สามารถผลิตน้ำยางออกมาได้ตลอดทั้งปี ทำให้ “ยางพารา” ได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของตำบลบ้านส้องไปโดยปริยาย ก็เพราะการปลูก และขายยางพารานี่เอง ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของที่นี่มีเงินหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี จากเงินรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง ที่นำเงินมาหมุนเวียนอยู่ในตลาดนั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครก็ตามที่ได้มาเยือน 14 จังหวัดภาคใต้แล้ว จะได้พบกับภาพที่คุ้นตาของ “สวนยางพารา” ที่มีปลูกอยู่อย่างมากมาย ดาษดื่นสองข้างทาง รวมถึงตำบล “บ้านส้อง” แห่งนี้ด้วย...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
..........นับย้อนไปในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขยายเส้นทางรถไฟทั่วประเทศไปให้จนสุดพรหมแดน ทิศเหนือให้ขยายไปจนถึงเชียงใหม่และทิศให้ขยายต่อไปจนถึง ปาดังเบซาร์ (มาเลเซีย) เพื่อความเจริญพัฒนาของการคมนาคมขนส่งให้ทั่วประเทศ ดังนั้นกำเนิดของสถานีรถไฟบ้านส้อง จึงน่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ในสมัยรั่ชกาลที่ 6... .........และว่ากันว่าเมื่อเกือบ ๗0 – ๘0 ปีก่อน (ย้อนจากปี 2552) พื้นที่หลาย ๆ จังหวัดทางภาคใต้ ก็ได้มีการสำรวจค้นพบ “แร่ธาตุ” ที่สำคัญใต้ผืนดินอย่างมากมาย เช่นแร่ “ยิปซั่ม” “ ดีบุก” และ “วุลแฟรม” จึงก่อให้เกิดความตื่นตัวในการทำ “เหมืองแร่” ในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ในยุคนั้น รถไฟ “สายใต้” จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากการคมนาคมของชาวบ้าน นั่นก็คือถูกใช้ในการ “ขนแร่” ที่ขุดได้เหล่านั้นนั่นเอง
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...............ยกตัวอย่างเช่นที่ “สถานีรถไฟบ้านส้อง” มีการใช้พื้นที่บางส่วน เป็นจุดพักแร่ “ยิปซั่ม” ที่มีมากในแถบนี้ แล้วใช้รถไฟ “บรรทุก” เข้าสู่โรงงานอีกทอดหนึ่ง และกองแร่ยิปซั่มมากมายที่สถานีรถไฟบ้านส้องนี่เอง ที่เป็นภาพที่ชาวบ้านส้องเห็นมานานจนชินตา จนทำให้ใครหลายคนเคยแอบขนานนามแร่ยิปซั่มจำนวนมากมายเหล่านี้ว่า เป็นกอง “หิมะ” แห่งบ้านส้องกันมาแล้ว ..............พร้อม ๆ กับเรื่องราวในยุค “ตื่นแร่” (พ.ศ. 2516-2518) ที่สถานีรถไฟบ้านส้อง เคยถูกใช้เป็นชุมทางของนักแสวงโชค ในการเดินทางไปขุดแร่ “วุลแฟรม” บนภูเขา “สูญ” ที่ห่างไกล ว่ากันว่าในยุคตื่นแร่นี้เอง ที่เป็นยุคสมัยที่คึกคักที่สุดของตลาดบ้านส้อง อันเนื่องจากนักแสวงโชคมากหน้าหลายตา ที่หลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อใช้ตลาดบ้านส้องเป็นจุดต่อรถ ในการเดินทางต่อไปยังแหล่งขุดแร่ ..............จนถึงการสิ้นสุดของยุค “ตื่นแร่” ที่ต้องจบลงอย่างรวดเร็วก่อนเวลาอันควร เนื่องมาจากการทะเลาะเบาะแว้งกันเองของนักแสวงโชคเหล่านั้น จนทำให้ “รัฐบาล” ต้องสั่งห้ามไม่ให้มีการขุดแร่ในบริเวณที่ว่านั้นอีกต่อไป...
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
.............หลังจากหมดสิ้นยุคสมัยแห่งการแสวงโชค พร้อม ๆ กับเศรษฐกิจของตลาดบ้านส้องที่ต้องซบเซาตามไปด้วย หลายปีผ่านไป “ตลาดบ้านส้อง” กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง จากโอกาสทาง “การค้า” ที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อม ๆ กับการกำเนิดของ “ทางหลวงแผ่นดินสายที่ 41” หรือ “ถนนเอเชีย” ที่ตัดผ่านพื้นที่บางส่วนของตำบลบ้านส้อง ทำให้การเดินทางคมนาคมระหว่างพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศกับตำบลบ้านส้องนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดายขึ้นกว่าในอดีตอีกมาก ...............ก็เพราะความได้เปรียบทางด้านทำเลของการคมนาคมที่เอง ที่ทำให้ทุกวันนี้ “บ้านส้อง” ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะ “สินค้าทางการเกษตร” ให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างถิ่น ที่หลั่งไหลมาสู่ตลาดบ้านส้อง เพื่ออาศัยที่นี่เป็นจุดพักแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้มีเงินตรากลับมาหมุนเวียนอยู่ในตลาดบ้านส้องอีกครั้งหนึ่งจนมาถึงปัจจุบัน นี่จึงเป็นการเติบโตในมิติใหม่ของตลาดบ้านส้อง ที่สุดท้ายแล้วเมืองนี้อาจไม่ได้เป็นเมืองที่มีอัตตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่หวือหวา แต่ทุกวันนี้ “บ้านส้อง” ก็ไม่ใช่เมืองจะหยุดนิ่ง ซบเซาเพื่อรอวันเหี่ยวเฉาอีกต่อไปแล้ว
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...............ต่อไปก็อยากจะขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของตำบล “บ้านส้อง” นั่นก็คืออุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” อันเป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของภาคใต้ หรือที่ชาวบ้านส้องรู้จักกันในนามของหมู่บ้าน “เหนือคลอง” อันมีจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวอยู่ที่น้ำตก “สามห้าเจ็ด” โดยที่มาจากการที่ขบวนการ “คอมมิวนิสต์” ที่เคยใช้หุบเขาแห่งนี้ เป็นฐานที่มั่นทางการทหารเมื่อครั้งอดีต จึงนำเอาชื่อฐานที่มั่นนั้นมาตั้งเป็นชื่อน้ำตกว่า “สามห้าเจ็ด” ... ...............อุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 265,625 ไร่ ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อ.กาญจนดิษฐ์ อ.บ้านนาสาร และ อ.เวียงสระ พื้นที่ของอุทยานเป็นเขตเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ทอดตัวในแนวยาวเหนือใต้ประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่สำคัญส่วนหนึ่งของแม่น้ำ “ตาปี” อันเป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” สำหรับชาว “บ้านส้อง” จะเรียกอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ในชื่อสั้น ๆ ว่า “เหนือคลอง” เพราะว่าอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ “หมู่บ้านเหนือคลอง” อันเป็นชื่อหมู่บ้านหนึ่ง ในเขตตำบลบ้านส้องนั่นเอง
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...............การเดินทางมาเยือนอุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” แห่งนี้ทำได้ไม่ยากเลย ให้ใช้เส้นทางสายสุราษฏร์- นครศรีธรรมราช (ถนนหมายเลข 4009) ให้สังเกตป้ายบอกทางไปยัง “บ้านเหนือคลอง” ซึ่งจะอยู่ช่วงระหว่างรอยต่อของ “ตำบลบ้านส้องกับตำบลห้วยปริก” อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเห็นป้าย “บ.เหนือคลอง” แล้ว ก็ให้เลี้ยวเข้าไปตามป้ายได้เลย ก็จะเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นทันที ...............ฉับพลันที่ใครก็ตามได้เข้ามาเยี่ยมเยือนอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ท่านก็จะได้พบกับบรรยากาศอันสงบสุขของหมู่บ้าน “ชาวสวน” ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาลำเนาไพร อันมีสายน้ำใสไหลเย็นที่สะอาดบริสุทธิ์ไหลผ่านตลอดทาง อันเป็นเส้นทางนำไปสู่น้ำตก “สามห้าเจ็ด” ที่ได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของป่าลึกอันงดงาม ที่น้อยคนนักจะได้มาเยือน ...............ปัจจุบันการเข้ามาท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” แห่งหมู่บ้านเหนือคลองนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นเลย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้มีการสร้างถนนหนทางอย่างทั่วถึง ทำให้การมาท่องเที่ยวในอุทยานโดยเฉพาะการใช้ “รถส่วนตัว” สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสะดวกสบายเป็นอย่างมาก
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
...............ที่นี่มีสถานที่ ๆ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแนว “ครอบครัว” ที่ไม่อยากเดินทางลึกเข้าไปในอุทยานจนเกินไปให้สามารถเล่นน้ำเป็นระยะ ๆ หรือถ้าอยากมาท่องเที่ยวแนวสงบ ๆ ส่วนตัวขึ้นไปอีกนิด ที่นี่ก็มี “บ้านพักอุทยาน” ไว้ให้บริการในเขตอุทยานที่อยู่ลึกเข้าไปจากทางเข้าอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่ง “บ้านพักอุทยาน” ที่ว่านี้ก็ตั้งอยู่ในบริเวณของเส้นทางเดินเท้าไปสู่น้ำตกน้ำตก “สามห้าเจ็ด” ซึ่งมีระยะทางห่างจากที่ทำการอุทยานไปถึงตัวน้ำตกอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เท่านั้น ...............ระหว่างทางเดินไปสู่ตัวน้ำตกนี้เอง ที่จะทำให้ท่านได้รับประสบการณ์การเดินป่าแบบที่ไม่ยากลำบากจนเกินไป แต่ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางร่มเงาของป่าเขาเขต “ร้อนชื้น” ที่ยังสมบูรณ์สวยงามในระหว่างเส้นทางเดินไปสู่น้ำตกตัวน้ำตกนั่นเอง ...............และจุดเด่นที่สำคัญของน้ำตก “สามห้าเจ็ด” หาได้อยู่ที่รูปลักษณ์ที่สวยงามเหนือน้ำตกชื่อดังอื่น ๆ ไม่ หากแต่ “เสน่ห์” ที่แท้จริงของน้ำตกแห่งนี้นั้น น่าจะอยู่ที่สภาพความงดงามอันบริสุทธิ์ทางธรรมชาติ ที่ยังไม่ได้ผ่านการเหยียบย่ำจากนักท่องเที่ยวภายมากนัก จึงทำให้ยังคงสภาพความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และความสะอาดบริสุทธิ์สวยงามอยู่ได้ จนมาถึงทุกวันนี้
* ติดต่อที่ทำการอุทยาน (ที่พัก) 0-7734-4633 , 081-829-4469 (สุกฤติ์)
* อ้างอิงจาก
http://www.tour.co.th/tour.php?p_id=39&t_id=1823
http://www3.suratthani.go.th/km/index-34.htm
http://www.thaisurat.com/bannasan-357.htm
http://203.144.136.10/service/mod/heritage/nation/nationalpark/index48.htm
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|