
ขอบคุณรูปภาพจาก wallpaperswide.com
ผมไม่ชอบเส้นบางๆระหว่างการศึกษากับปิดเทอม คือวันประกาศผลการเรียน ผมเกลียดระบบการจัดอันดับนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่เกิดมา ผมเคยตอบได้เลขหลักเดียวแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นตอน ป.2 อีกต่างหาก
ตอน ม.ต้น ผมไม่ชอบระบบการศึกษาของโรงเรียน ผมอยากเล่นสนุกมากกว่าที่จะต้องมานั่งบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ แน่นอนผลการเรียนของผมไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี เป็นแค่ระดับเกรดเฉลี่ยสองจุดต้นๆเท่านั้น ผมไม่เคยรู้สึกอะไร จนกระทั่งผมถูก “ว่า” อย่างรุนแรงอย่างถึงที่สุดจากคนที่ผมรักที่สุด
ตอนนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าผมจะตั้งใจเรียน!!!
ผลการเรียนของผมดีขึ้นจากเดิมนิดเดียวและแป๊ปเดียวหลังจากนั้นผลการเรียนของผมก็ตกลงอีก โชคดีอย่างหนึ่งคือพ่อ
แม่ของผมเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่ใช่คนฉลาด ความคาดหวังเลยลดลงไป ถึงอย่างไรผมก็มักถูกบ่นเรื่องไม่ยอมอ่านหนังสือเรียน
อีกครั้ง ผมเกลียดระบบตัดเกรด!!!
ความหลังของผมอย่างหนึ่ง ผมขอโบ้ยความผิดให้โรงเรียนของผมตอนชั้นประถมอย่างไม่ฟังเหตุผลใคร ผมเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งการสอนภาษาอังกฤษเป็นระดับพื้นๆ จนกระทั่งผมต้องย้ายโรงเรียนกลางคัน โรงเรียนใหม่ของผมเป็นโรงเรียนที่เน้นวิชาการมาก ในฐานะเด็กใหม่ ผมค้นพบว่าผมกลายเป็นคนที่โง่ภาษาอังกฤษมากที่สุดในห้อง
ในเมื่อครูเห็นผมไม่เก่งภาษา ครูเลยพยายามกระตุ้นให้ผมพยายามฝึกฝน ครูเคี่ยวเข็ญให้ผมยืนอ่านภาษาอังกฤษคนเดียวหน้าห้องเรียน แน่นอนผมอ่านไม่ออก ไม่ใช่ผมไม่พยายามนะ แต่ผมอ่านไม่ออก!!! ทุกครั้งที่ผมถูกเรียกให้ยืนขึ้นในชั่วโมงภาษาอังกฤษ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวตลก กลายเป็นคุณงั่ง ภาพที่ผมยังจำได้ทุกวันนี้คือเพื่อนๆทุกคนร่วมกันประนามว่าผมเป็นคนโง่ เสียงหัวเราะและดูถูกเหยียดหยามทำให้ผมยิ่งเกลียดวิชาภาษาอังกฤษไปเสียอีก
ตอนมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนคณะที่ผมชอบคือศิลปกรรม มีครั้งหนึ่งอาจารย์สั่ง
งานไม่รู้เรื่อง สั่งไม่เคลียร์ ในห้องไม่มีใครกล้าถามอาจารย์เพราะทุกคนก็ไม่เคยคิดจะถามกันอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมีใครสักคนถามหละ ในเมื่ออยู่เฉยๆแล้วทำตามคนอื่นง่ายกว่าใครทำอะไรก็เฮโลทำให้เหมือนเพื่อนๆ อย่างน้อยจะถูกจะผิดก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบ ผมไม่ยอมเพราะผมถือว่าถ้าเราได้รู้คำถามที่แน่นอน เราจะได้คำตอบที่ดีได้อย่างไร?
ผมเดินเข้าไปหาอาจารย์หลังชั่วโมงเรียน ลงมือถามคำถามที่ไม่เข้าใจด้วยไฟที่อยากทำงานระดับสุดยอดไม่ให้ผิดพลาดและอยากได้ A ให้มากที่สุดในวิชาที่ผมรัก ด้วยไฟแรงของผมไปเผาต่อมความอดทนของอาจารย์อย่างไรไม่ททราบ ผมได้รับคำถามมาว่า “ถ้าเธอยังเรื่องมาก ต่อให้เธอส่งงานครบ ฉันก็ทำให้เธอตกได้” นี่ใช่ระบบสะท้อนอะไรบางอย่างหรือเปล่า คำว่า “ฉัน” ในประโยคที่อาจารย์ท่านพูดหมายถึงฉันที่เป็นฉัน หรือฉันที่เป็นอาจารย์
มีหลักฐานระดับโลกมากมายเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับล้มเหลว สิ่งที่แตกต่างกันไม่ใช่เรื่องของรูปร่างหน้าตา การศึกษาหรือทรัพย์สมบัติ แต่มันเป็นเรื่องของทัศนคติ เพราะทัศนคตินั้นจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิต และเป็นตัวตัดสินว่าใครควรจะได้สิ่งดีๆ และใครสมควรจะได้รับสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ น่าแปลก สถาบันการศึกษาขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันที่สอนทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในวัยเจริญเติบโต แต่เรื่องทัศนคติเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในหลักสูตร แม้กระทั่งวิชาแนะแนวที่ให้อาจารย์มาแนะแนวว่าเราควรจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจจะให้คำตอบในชีวิตที่สามารถนำไปใช้จริงๆได้