ที่มาสำนักข่าวอิศรา
เขียนโดยผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
หมวดหมู่เวทีทัศน์
ถ้าท่านยังนิ่งเฉย ไม่ทำอะไร...ไม่ลงโทษคนกระทำผิด ก็คงเตรียมใจรับกับระบบสุขภาพไทยที่ขาดแคลนทุกอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเกิดผลกระทบที่ยากจะคาดเดารักพวกเรา ดูแลพวกเรา...อย่าให้เตะก้านคอแล้วทะลุถึงหัวใจแบบนี้เลย!!!

ตลอดเช้าวันจันทร์ ฟ้าหม่นๆ ครึ้มๆ เหมือนใจผู้เขียนหลังจากอ่านข่าว"นักเตะก้านคอ"...อหิวาตกโรคเอ๊ย!!!...นี่คือคำอุทานที่แว่บมาในสมองถามว่าเพราะอะไร?
ในสายตาอาจารย์หมอคนนึง บอกได้ว่าข่าวนี้มันเจ็บเกินกว่าจะรับได้สังคมไทยรู้ไหมว่า เด็กๆ ลูกหลานเราเริ่มกังวลกับอนาคตของตนเอง ไม่อยากมาเรียนสาขาสุขภาพ เพราะ
งานหนัก และมีความเสี่ยงเยอะขึ้นเรื่อยๆคนที่มาร่ำเรียนจนจบส่วนใหญ่ก็ด้วยใจรัก ที่อยากดูแลคนเจ็บป่วยให้หายดียิ้มได้ หากจะมีพาณิชย์ก็เป็นส่วนน้อยกว่าส่วนใหญ่
ทำงานในระบบที่ทรัพยากรจำกัดจำเขี่ย ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าแบบประเทศตะวันตกที่ร่ำรวย
คุณภาพชีวิตการทำงานเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่จะติดมาจากผู้ป่วยได้ระหว่างการดูแลรักษา
เวลากินไม่ได้กิน เวลานอนไม่ได้นอน ถึงได้นอนก็นอนที่อับคับแคบ เสียงโทรศัพท์ก้องกังวาลเป็นระยะ ถลุงพลังชีวิตล่วงหน้าระยะยาว จนหลายต่อหลายคนเกิดโรคประจำตัวขึ้นมา จนเรียกได้ว่า "งานเปลี่ยนชะตาชีวิต"
ถามว่าเค้าเหล่านั้นทำไปเพื่ออะไร...เงินทองเหรอ?
เฮอะ...ทำอย่างอื่นได้รายได้ดีกว่าเยอะ
เขาทำเพราะ"รักพวกคุณ" "ห่วงใยคุณ" และระลึกถึงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่ตัดสินใจปวารณาตัวมาช่วยดูแลชีวิตคนยามเจ็บป่วยตามรอยสมเด็จพระราชบิดาสังคมไทยในปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยติดนิสัยอวดเก่ง อวดเบ่ง บ้าอำนาจหลงใหลกับวัตถุนิยม จนลืมกำพืดและวัฒนธรรมอันดีของไทยที่เคารพเอื้ออาทรกันและกัน จนกลายเป็นกระแสการมองการดูแลรักษาพยาบาลเป็น"การซื้อขายสินค้าและบริการ" โดยไม่สำนึกและสำเหนียกเลยว่า คนสุขภาพนั้นเค้าใช้"ใจ"เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการดูแลรักษาคน
คิดมาถึงตอนนี้ มีงานวิจัยเชิงสำรวจในอเมริกาเมื่อสักสองสามปีก่อน มาเล่าให้ฟังว่า วิชาชีพพยาบาลนั้นกว่าร้อยละ 80 พบว่าถูกทำร้ายร่างกายและทำร้ายจิตใจผ่านคำพูดดูถูกเหยียดหยามหมิ่นประมาทจากผู้ป่วยยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า บุคลากรวิชาชีพสุขภาพนี้ถือเป็นวิชาชีพเสี่ยงที่สุดที่จะเกิดเหตุการณ์ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจระหว่างการทำงานเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นในสังคม โดยเกิดเหตุการณ์รวมถึงร้อยละ 70 ของสถิติที่รายงานไว้ทั้งหมดในประเทศ
ตัวเลขดังกล่าวเกิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดที่ทนไม่ไหว และเกิดการรวมตัวเรียกร้องทวงสิทธิและศักดิ์ศรี รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตขึ้นมา และนำมาซึ่งการที่รัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาได้เริ่มออกกฎหมายปกป้องคนทำงาน และเอาผิด/ทำโทษผู้ป่วยหรือประชาชนที่ทำร้ายบุคลากรอย่างจริงจัง
ล่าสุดแพทยสภาและทันตแพทยสภาได้ออกแถลงการณ์แสดงท่าทีต่อเหตุการณ์เตะก้านคอ แต่จัดเป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นที่ยังต้องรอเพาะบ่มกันต่อไปในอนาคต สำหรับผมนั้น ขอถือโอกาสนี้ตะโกนดังๆ ไปยังนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข รมว.ยุติธรรม ศูนย์ดำรงธรรม รวมถึงประชาชนชาวไทยทุกคนว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมานาน และมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เคยมีใครใส่ใจ ไม่มีคนนำหรือเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของคุณหมอ คุณพยาบาล รวมถึงบุคลากรวิชาชีพสุขภาพ...Nothing change...Nobody cares...
กำลังใจที่ถดถอยลงจะถดถอยกำลังคนในระบบไปเรื่อยๆ...
ข่าวแบบนี้ที่สร้างภาพอันตรายต่อวิชาชีพสุขภาพย่อมจะทำให้ลูกหลานและผู้ปกครองกังวลต่อสวัสดิภาพหากจะมาช่วยดูแลประชาชน...
ถ้าท่านยังนิ่งเฉย ไม่ทำอะไร...ไม่ลงโทษคนกระทำผิด ก็คงเตรียมใจรับกับระบบสุขภาพไทยที่ขาดแคลนทุกอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเกิดผลกระทบที่ยากจะคาดเดารักพวกเรา ดูแลพวกเรา...อย่าให้เตะก้านคอแล้วทะลุถึงหัวใจแบบนี้เลย!!!
หมายเหตุ : บทความโดย ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ขอบคุณภาพจาก : www.scientificamerican.com
เอกสารอ้างอิง:
http://www.scientificamerican.com/article/epidemic-of-violence-against-health-care-workers-plagues-hospitals/