สาเหตุของการเป็นโรคเอดส์จากเชื้อเอชไอวี เชื้อเอชไอวีเป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวโดยตรง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของเม็ดเลือดขาวบกพร่อง หากสงสัยว่าติดเชื้อเอชไอวีจะต้องทำการเจาะเลือดตรวจเท่านั้น โดยหากเป็นเลือดบวก แพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการหาปริมาณของ CD4 คือการตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในเลือด เพื่อดูความเสียหายที่เกิดจากไวรัสเอชไอวี รวมทั้งตรวจปริมาณไวรัสที่อยู่ในเลือดด้วย (Viral Load) ในบางรายจะเพิ่มการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเอชไอวี (Nucleic Acid Test)
ส่วนขั้นตอนในการรับยาต้านไวรัสเอชไอวีนั้น ผู้ที่ติดเชื้อควรเริ่มรับประทานยาตั้งแต่ระยะแรกที่ทราบว่าติดเชื้อ เพราะยาต้านไวรัสจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายและพัฒนาไปสู่โรคฉวยโอกาสที่รุนแรงจนกลายเป็นเอดส์ หากไม่ได้เริ่มทานยาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะถูกทำลายจนเสียหายอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูต่อโรคหรือภาวะแทรกซ้อนได้ เกิดการเจ็บป่วยง่าย โดยเริ่มแรกอาจเป็นการติดเชื้อรา ทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อปาก ลิ้น หลอดอาหาร หรือช่องคลอด การติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ระบบทางเดินอาหาร ปอด หรืออวัยวะอื่นๆ วัณโรค ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียอันตรายเรื้อรังที่ทำลายอวัยวะ โดยเฉพาะปอดและระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นโรคเอดส์และเสียชีวิตได้
ในระหว่างที่อวัยวะส่วนต่างๆ ได้รับความเสียหายจากการเจ็บป่วย การติดเชื้อเอชไอวีที่ลุกลามเหล่านี้ ยังสามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาทของผู้ป่วยได้อีกด้วย ได้แก่
ทำให้มีอาการสับสน มึนงง หลงลืม ซึมเศร้า วิตกกังวล
มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากปกติ หรือมีการแสดงออกทางจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกที่ลดลงกว่าเดิม
มีไข้อยู่ตลอดเวลา เหนื่อยล้า หมดแรง
น้ำหนักลด มีเหงื่อไหลตลอดทั้งคืน ท้องร่วงเรื้อรัง
มีฝ้าสีขาว หรือแผลบริเวณลิ้นและปาก
ซึ่งโรคทั้งหมดจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ทั้งนี้การรับยาต้านไวรัสเอชไอวีโดยเร็วและดูแลรักษาตัวเองอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้พ้นจากโรคฉวยโอกาสได้ดีขึ้น
https://lovefoundation.or.th/th/โรคเอดส์จากเชื้อเอชไอว/